เลยลองหาข้อมูลดูมีหลายคนบอกว่าให้ลงโปรแกรมโน่นนี่นั่นเพื่อจะสามารถเปิดไฟล์ได้ ด้วยความที่ไม่อยากจะโหลดโปรแกรมอะไรลงเครื่องเยอะเนื่องจากโปรแกรมที่เค้าพูดถึงกันนี่ความเสียงโดนไวรัสสูงทั้งนั้น อ่านไปอ่านมาจนไปเจอวิธีที่ไม่ต้องลงโปรแกรมก็ได้ แค่ใช้ความสามารถของ RAR ที่เรามีอยู่แล้วก้อสามารถทำได้ วิธีการคือเมื่อเราได้ไฟล์นามสกุล ISO มาแล้วนั้นให้คลิ๊กขวาที่ชื่อไฟล์นั้นได้เลยแล้วกดไปที่ Open With แล้วเลือก Win RARแค่นี้เราก็สามารถเห็นไฟล์ที่อยู่ในนามสกุล ISO ได้ทั้งหมด แล้วเราจึงหาไฟล์ที่ใช้ setup ลงตามขั้นตอนปกติได้เลย ผมลองแล้วได้ผลดี ง่ายๆไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่มเติมเลยเลยเอามาเล่าสู่กันฟัง
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559
การลงโปรแกรมนามสกุล .ISO โดยไม่ต้องลงโปรแกรม
พอดีวันนี้ได้มีโอกาสโหลดโปรแกรม AUTOCAD มาใช้งานโดยไฟล์ที่ได้มามีขนาดใหญ่พอสมควร ไฟล์ที่ได้มาเป็นไฟล์บีบอัดมาในรูป RAR 3 ไฟล์ใหญ่ๆ หลังจากได้รวมไฟล์เข้ากันแล้วจึงได้เป็นไฟล์เดียวขึ้นมา อ้าวมันเป็นนามสกุล .ISO ทำไงหว่าคราวนี้จะลงโปรแกรมไงละนี่
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559
มาตรฐานการทดสอบวัสดุที่ควรรู้
ว่าด้วยเรื่องการทดสอบคุณภาพวัสดุและผลิตภัณฑ์
ในอุตสาหกรรมการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใด มีความจำเป็นที่จะต้องมีการทดสอบคุณภาพทั้งนั้น โดยเริ่มจากทดสอบวัตถุดิบที่นำมาใช้ หลังจากนั้นเข้าสู่กระบวนการแปรรูปออกมาเป็นชิ้นส่วนและสุดท้ายคือเมื่อนำแต่ละชิ้นส่วนมาประกอบกัน เสร็จสิ้นแล้วก็ยังต้องมีการทดสอบ
ดังนั้นการทดสอบถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
ทำไมต้องมีการทดสอบ ทดสอบเพื่อ ?
1.พิสูจน์แนวความคิดในการออกแบบ
2.เป็นหลักประกันของความน่าเชื่อถือ
3.เพื่อความปลอดภัย
4.เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือข้อมูลจำเพาะ
5.ตรวจสอบกระบวนการผลิต
คุณสมบัติที่ต้องทดสอบ
1.คุณสมบัติทางเคมี (Chemical Properties)
2.คุณสมบัติทางกายภาพ (Physical Properties)
3.คุณสมบัติทางกล (Mechanical Properties)
1.คุณสมบัติทางเคมี (Chemical Properties) ต้องทดสอบอะไรบ้าง
ส่วนผสม (Chemical content)
ลักษณะโครงสร้างทางเคมี (Chemical struture)
การกัดกร่อน (Corosion)
การคงทนต่อการติดไฟ (Flamability)
ค่าความเป็นกรด/ด่าง (PH balance)
2.คุณสมบัติทางกายภาพ (Physical Properties) ต้องทดสอบอะไรบ้าง
ขนาด (Dimension)
รูปร่าง (Shape)
ความหนาแน่น (Density)
ความถ่วงจำเพาะ(Specific Gravity)
การซึมผ่าน (permeability)
3.คุณสมบัติทางกล (Mechanical Properties) ต้องทดสอบอะไรบ้าง
Tensile strength Compressive strength
Shear strength Yield strength
Strain at failure Young's modulus
Hardness Toughness
Poisson's ratio Fatigue limit
etc.
แล้วเราจะทดสอบอย่างไร ?
เมื่อเราทราบถึงความจำเป็นในการการทดสอบคุณภาพวัสดุแล้วหากเราต้องการทดสอบคุณภาพของวัสดุเราว่าเป็นอย่างไรเราจะทำอย่างไร ทดสอบตามใจเราเองได้ไหม ?
คำตอบคือได้ หากเราจะใช้เอง หรือ เราไม่มีคู่แข่งในตลาด
แต่หากสินค้าของเราต้องการจะผ่านการยอมรับเป็นไปตามมาตรฐานสากล เราจำเป็นต้องทดสอบตามมาตรฐานสากลหรือที่ได้การยอมรับด้วยเช่นเดียวกัน
มาตรฐานการทดสอบสากลเป็นที่ยอมรับและที่นิยมใช้กันมีดังนี้ (ตามประสบการณ์ที่ได้เจอมานะครับ)









และยังมีมารตฐานอื่นๆอีกมากมายตามแต่ละประเทศที่เราส่งสินค้าเข้าไปในประเทศนั้นๆ
ขอบคุณข้อมูลจากอ้างอิงจาก บริษัทอินโทรเอ็นเตอร์ไพรส์จำกัด www.intro.co.th
ในอุตสาหกรรมการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใด มีความจำเป็นที่จะต้องมีการทดสอบคุณภาพทั้งนั้น โดยเริ่มจากทดสอบวัตถุดิบที่นำมาใช้ หลังจากนั้นเข้าสู่กระบวนการแปรรูปออกมาเป็นชิ้นส่วนและสุดท้ายคือเมื่อนำแต่ละชิ้นส่วนมาประกอบกัน เสร็จสิ้นแล้วก็ยังต้องมีการทดสอบ
ดังนั้นการทดสอบถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
ทำไมต้องมีการทดสอบ ทดสอบเพื่อ ?
1.พิสูจน์แนวความคิดในการออกแบบ
2.เป็นหลักประกันของความน่าเชื่อถือ
3.เพื่อความปลอดภัย
4.เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือข้อมูลจำเพาะ
5.ตรวจสอบกระบวนการผลิต
คุณสมบัติที่ต้องทดสอบ
1.คุณสมบัติทางเคมี (Chemical Properties)
2.คุณสมบัติทางกายภาพ (Physical Properties)
3.คุณสมบัติทางกล (Mechanical Properties)
1.คุณสมบัติทางเคมี (Chemical Properties) ต้องทดสอบอะไรบ้าง
ส่วนผสม (Chemical content)
ลักษณะโครงสร้างทางเคมี (Chemical struture)
การกัดกร่อน (Corosion)
การคงทนต่อการติดไฟ (Flamability)
ค่าความเป็นกรด/ด่าง (PH balance)
2.คุณสมบัติทางกายภาพ (Physical Properties) ต้องทดสอบอะไรบ้าง
ขนาด (Dimension)
รูปร่าง (Shape)
ความหนาแน่น (Density)
ความถ่วงจำเพาะ(Specific Gravity)
การซึมผ่าน (permeability)
3.คุณสมบัติทางกล (Mechanical Properties) ต้องทดสอบอะไรบ้าง
Tensile strength Compressive strength
Shear strength Yield strength
Strain at failure Young's modulus
Hardness Toughness
Poisson's ratio Fatigue limit
etc.
แล้วเราจะทดสอบอย่างไร ?
เมื่อเราทราบถึงความจำเป็นในการการทดสอบคุณภาพวัสดุแล้วหากเราต้องการทดสอบคุณภาพของวัสดุเราว่าเป็นอย่างไรเราจะทำอย่างไร ทดสอบตามใจเราเองได้ไหม ?
คำตอบคือได้ หากเราจะใช้เอง หรือ เราไม่มีคู่แข่งในตลาด
แต่หากสินค้าของเราต้องการจะผ่านการยอมรับเป็นไปตามมาตรฐานสากล เราจำเป็นต้องทดสอบตามมาตรฐานสากลหรือที่ได้การยอมรับด้วยเช่นเดียวกัน
มาตรฐานการทดสอบสากลเป็นที่ยอมรับและที่นิยมใช้กันมีดังนี้ (ตามประสบการณ์ที่ได้เจอมานะครับ)









และยังมีมารตฐานอื่นๆอีกมากมายตามแต่ละประเทศที่เราส่งสินค้าเข้าไปในประเทศนั้นๆ
ขอบคุณข้อมูลจากอ้างอิงจาก บริษัทอินโทรเอ็นเตอร์ไพรส์จำกัด www.intro.co.th
วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559
การทดสอบหาค่าความชื้น Moisture Analyzer

A moisture analyzer เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดหาปริมาณความชื้นในวัสดุ moisture analyzer ใช้วัดกับตัวอย่างได้หลายประเภท และในความเป็นจริง moisture analyzers ก็ใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตอาหาร ยา หรือการเตรียมการทางเคมี
การวิเคราะห์ความชื้นมีหลายวิธี ค่าเปอร์เซ็นต์ความชื้น เป็นหนึ่งใน spec.ที่ต้องแสดงในการผลิตอาหารเพื่อการค้า
วิธีการวิเคราะห์ปริมาณความชื้นและน้ำ
ปริมาณความชื้นมีผลกับคุณสมบัติทางกายภาพของสาร เช่นน้ำหนัก, ความหนาแน่น, ความหนืด, ค่าดัชนีการหักเหของแสง, การนำไฟฟ้า และอื่น ๆ เทคนิคทางเคมี, เทคนิคทางกายภาพด้วยความร้อน หรือเทคนิคการวิเคราะห์หาน้ำหนักที่สูญเสียไปเมื่อให้ความร้อน จะถูกนำมาวิเคราะห์ค่านี้

ทำไมต้องมีการเคราะห์ปริมาณความชื้น
เพราะวัสดุธรรมชาติจะมีความชื้นเป็นส่วนประกอบ ปริมาณน้ำหรือความชี้นในตัวอย่างไม่ค่อยเป็นที่สนใจ แต่ต้องแสดงเพื่อการค้าหรือใช้ค้นหาคุณสมบัติอื่นๆตามมาตรฐาน เช่น
- ระยะเวลาการเก็บรักษา - การจับตัวของผงแป้ง - การควบคุมปริมาณของจุลินทรีย์ - คุณสมบัติการไหล,ความหนืด - ปริมาณส่วนประกอบที่ไม่รวมความชื้น - ความเข้มข้น หรือความบริสุทธิ์ - ตามข้อกำหนดของกฎหมาย
การวิเคราะห์หาความชื้นจึงเป็นการตรวจสอบอย่างหนึ่ง ที่มีความสำคัญมาก เพราะปริมาณความชื้นจะบอกให้ทราบว่าวัสดุนั้น มีคุณภาพดีหรือไม่ อายุการเก็บรักษานานเท่าใด และปริมาณหรือน้ำหนักที่แท้จริงเท่าไร ส่วนจะเลือกใช้วิธีวิเคราะห์วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับ ลักษณะและส่วนประกอบของวัสดุ ความรวดเร็วในการวิเคราะห์และความถูกต้องแม่นยำของผลที่จะได้รับ
หลักการทำงาน
Thermogravimetry คือ กระบวนการวัดค่าการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักขณะที่วัสดุได้รับความร้อน วัสดุจะถูกชั่งก่อนและหลังการอบเพื่อหาค่าความแตกต่าง กระบวนการ THERMOGRAVIMETRY มาจากคำภาษาลาติน 3 คำ คือ:
Thermo = heat (ความร้อน)
Gravi = weight (น้ำหนัก)
Metry = method (วิธีการ)
Material humidity จะรวมอยู่ในส่วนประกอบของวัสดุและผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะระเหยเมื่อได้รับความร้อน ค่าความชื้นของวัสดุจะแตกต่างจากการปนของน้ำในวัสดุ
ระหว่าง drying process เราจะพบคำว่า “open water” หรือกระบวนการคายน้ำนั้นคือกระบวนการที่จะไล่น้ำออกจากตัวอย่างก่อนการทดสอบ ซึ่งวัสดุจะคายน้ำที่อุณหภูมิ 105 เซลเซียส
สรุปก็คือใช้หลักการชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบระหว่างวัสดุที่มีความชื้น (อมน้ำ) กับน้ำหนักวัสดุคายน้ำจนหมดนั่นเอง ซึ่งอุณหภูมิส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 105-107องศาเซลเซียส
ซึ่งเครื่องมือที่ใช้คือเครื่องชั่งอ่านละเอียด 3 ตำแหน่งและมี Chamber สำหรับอบให้ชิ้นงานแห้งอยู่ในตัวเดียวกัน
แหล่งกำเนิดความร้อน Heating elements ที่นิยมใช้งานในปัจจุบันมี 3 แบบ
1.ขดลวดความร้อน
เป็นแหล่งให้ความร้อนที่นิยมใช้งานในช่วงแรก ข้อดีคือราคาไม่สูง ทนทาน แต่ใช้ระยะเวลานาน ช่วง รอความเย็นลดลง
2.Halogen lamps เป็นแหล่งให้ความร้อนที่นิยมกันมากในปัจจุบันของ moisture analyzer ข้อดีคือร้อน เร็ว เย็นเร็ว ดูแลรักษาง่าย ตัวอย่างทดสอบจะเริ่มได้รับความร้อนจากการสัมผัสกับอากาศ นั่นคือจะมี การถ่ายเทความร้อนจากภายนอกสู่ภายใน
IR sensors
การแผ่รังสีจะถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนเมื่อกระทบกับวัสดุทดสอบ ในกรณีนี้ตัวอย่างทดสอบจะร้อนจากข้างในและส่งผ่านความร้อนออกด้านนอก

โดยในการทดสอบน้ันต้องเกลี่ยชิ้นงานให้กระจายทั่วภาชนะ
ตัวอย่างทดสอบต้องไม่หนาเกินไป เพราะความชื้นจะระเหยจากผิว ถ้าเป็นไปได้ตัดชิ้นงานให้มีขนาดเล็กลง
หากต้องการหาค่าความชื้นของ ของเหลวจะต้องใช้อุปกรณ์ประกอบในการทดสอบ เช่น ทรายซิลิกา
ตัวอย่างผลการทดสอบหาค่า Moisture Analyzer
ลิงค์วีดีโอการทดสอบ https://www.youtube.com/watch?v=_ZitHpP8XJk
ข้อมูลจาก RADWAG THAILAND .www.radwag.co.th
ข้อมูลจาก RADWAG THAILAND .www.radwag.co.th
ร้อน
จะถูกนำมาวิเคราะห์ค่านี้
การทดสอบ MFI,MFR ดัชนีการหลอมไหลของเม็ดพลาสติก
การทดสอบอัตราการไหลของพลาสติก MFI
งานในกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก เม็ดพลาสติกถือเป็นหัวใจของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ เนื่องจากจะต้องใช้เม็ดพลาสติกมา มาผ่านกระบวนการต่างๆเพื่อให้ได้คุณสมบัติตามที่เราต้องการ เช่น ความแข็งแรง ทนทาน เหนียว ยืดหยุ่น ทนต่อการกัดกร่อน ขึ้นรูปได้ดี ดังนั้นเม็ดพลาสติกถือเป็นวัสดุเบื้องต้นในการเริ่มกระบวนการผลิตเลยทีเดียว
ปัจจุบันเม็ดพลาสติกส่วนใหญ่ที่ขายในบ้านเรามี 3 ลักษณะ
1.ผลิตจากกระบวนการกลั่นน้ำมันภายในประเทศ
2.นำเข้ามาจากต่างประเทศ
3.ได้จากการ Recycle
ซึ่งราคาก็เป็นไปตามเกรดต่างๆของเม็ดพลาสติกแต่ละชนิด ซึ่งเมื่อเราได้ซื้อมาแล้วทางผู้จำหน่ายจะมีใบ Certificate ของวัศดุมาให้เราเพื่อบอกถึงคุณสมบัติต่างๆของเม็ดพลาสติกชนิดนั้น
"โรงงานใน 1 วันเราต้องใช้เม็ดพลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิต ฟิล์ม,พลาสติกแผ่น,ขวด,ถ้วย และ อื่นๆ แต่วัตถุดิบซึ่งก็คือ เม็ดพลาสติก มีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่เครื่องจักรใช้ผลิตได้ การสูญเสียที่จะเกิดก็คือเราต้องส่งคืนหรือทิ้งเม็ดพลาสติกเหล่านั้น และอาจตามมาด้วยความเสียหาย คือต้องหยุดเครื่องจักรเพื่อรอเม็ดพลาสติกใหม่หรือถ้าเม็ดพลาสติกที่ใส่เข้าไปในเครื่องจักร หรือ extruder ทำให้เครื่องจักรเสียหายใช้การไม่ได้ต้องหยุดเครื่องจักรเพื่อซ่อมแซม ขาดรายได้ ต้นทุนการผลิตเพิ่ม ขาดทุน"
ทำอย่างไรถึงจะลดความเสียงนี้ได้ โดยในที่นี้ผมจะใช้ใช้เครื่องมือทดสอบหาค่าดัชนีการไหล เพื่อลดปัญหานี้
วันนี้ผมจะมาพูดถึงค่า 1 ค่าที่อยู่ใน Certificate ของเม็ดพลาสติก
MFI ( Melt Flow Index) MFR (Melt Flow Rate ) คือดัชนีการหลอมไหลของเม็ดพลาสติก
โดยแสดงผลเป็นดัชนีการไหลในหน่วยของ g/10 min
MVR (Melt Volume Rate ) คือปริมาตรการไหลของเม็ดพลาสติก
มีหน่วยเป็น Volume (cc/10mins) * Melt Density(g/cc)
มีหน่วยเป็น Volume (cc/10mins) * Melt Density(g/cc)
หลัการทำงาน
เป็นการทดสอบคุณสมบัติการไหลตัวของพลาสติกเหลวจำพวก Thermoplastics ตามมาตรฐาน DIN 53735 ASTM D 1238 และ ISO 1133 (MFR, Melt Flow Rate) การทดสอบนี้จะคล้ายกับการ Extrusion คือเป็นการหลอมเหลวพลาสติกในกระบอกทดสอบ (cylinder) ด้วยอุณหภูมิที่กำหนดแล้วใช้น้ำหนักกดตามค่าที่กำหนดเช่นกันกดลงบนแท่งกด(Piston) โดยให้แท่งกดกระทำกับพลาสติกเหลวที่อยู่ในกระบอกทดสอบ พลาสติกเหลวก็จะไหลผ่านหัวดายน์ออกมา หลังจากนั้นก็นำพลาสติกที่ไหลอกมาไปชั่งน้ำหนักเทียบกับเวลา 10 นาที เราก็จะได้ค่าของ MFI ของพลาสติก ซึ่งมีหน่วยเป็น กรัม /10 นาที
เครื่องทดสอบหาอัตราการไหลนอกจากใช้หาค่าอัตราการไหลของพลาสติกแล้วยังใช้เป็นกระบวนการทางอ้อมในการบอกค่าน้ำหนักของโมเลกุลของเม็ดพลาสติก (molecular weight)ได้ ถ้าเม็ดพลาสติกที่ทดสอบหา melt flow rate มีค่า สูงก็แสดงว่าเม็ดพลาสติกนั้นมีค่า molecular weight ต่ำ และขณะเดียวกัน melt flow rate ยังบอกถึงความสามารถในการหลอมไหลของวัสดุภายใต้แรงดัน. ในทางกลับกัน melt flow rate ยังใช้ในการวิเคราะห์หาค่าความหนืดของวัสดุภายใต้สภาวะการรับแรงต่างๆ อัตราส่วนระหว่างค่าการทดสอบหา melt flow rate 2 ครั้ง ที่ค่าน้ำหนักต่างกันก็นำไปหาค่าการกระจายตัวของน้ำหนักโมเลกุลของพลาสติกหรือ molecular weight distribution.
เครื่องทดสอบหา MFI มีการทำงานเหมือนกับ rheometerแต่เป็นการทดสอบพลาสติกภายใต้เงื่อนไข การกำหนดแรงเฉือนต่ำ (low shear).ถึงแม้ว่าค่า shear stress หรือ shear rate ที่กำหนดหรือทดสอบจะมีค่าต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าที่ใช้ในกระบวนการผลิต แต่ก็ยังนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดหรือเลือกใช้วัสดุในกระบวนการผลิตได้ ค่า MFR ที่สูงแสดงว่ามีความสามารถในการหลอมไหลได้ง่ายหรือนำไปใช้ในกระบวนการผลิตที่ต้องการ shear rate สูงเช่น กระบวนการขึ้นรูปด้วยการฉีด(Injection molding) ค่า MFR ใช้แสดงค่าของ molecular weight ของพลาสติก และ ค่าความแข็งแรงทางกล(mechanical strength)ได้ด้วย
เครื่องทดสอบหา MFI นอกจากจะใช้หาค่า MFR,MFI หรือ MI เรายังใช้หาค่าคุณสมบัติอื่นๆของพลาสติกได้อีก เช่น
ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง shear stress กับ shear rate
Die Swell or swelling ratio, คืออัตราส่วนทางคณิตศาสตร์ ระหว่าง เส้นผ่านศูนย์กลางของพลาสติกที่ไหลออกและเย็นตัวที่อุณหภูมิปกติ กับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ die ค่าของ die swell จะสำคัญมากต่อกระบวนการขึ้นรูปงานท่อ
(pipe extrusion) และ งานขึ้นรูปเป่าขวด (blow molding)
Draw Down คือพฤติกรรมที่พลาสติกหลอมไหลที่ออกมาจาก die (polymer extrudate) มีการยืดตัวโดยค่าน้ำหนักของตัวมันเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้จะเป็นตัวบอกว่าพลาสติกมีคุณสมบัติดีพอที่จะนำไปใช้ในกระบวนการขึ้นรูปขวด (blow molding) หรือไม่
เครื่องทดสอบ MFI ถูกออกแบบเพื่อใช้ทดสอบหาค่า MFI ตามมาตรฐาน ISO 1133 และ ASTM D 1238 ISO1133 ซึ่งเข้ามาแทนที่ของมาตรฐานของประเทศต่างๆเช่น DIN 53735 (Germany), NF: 51-106 (France), UNI 5640-74 (Italy) U NE 53098 (Spain).
เครื่องทดสอบ MFI มีส่วนประกอบและการทำงานคือ เป็นเครื่องทดสอบหาคุณสมบัติการไหลของพลาสติกโดยการรีดผ่านรูมาตรฐาน (standard die) แรงที่ใช้ในการรีด (extrude) ได้จาก ตุ้มน้ำหนัก กดผ่าน piston ไปยังพลาสติกที่ได้รับความร้อนจนหลอมไหล โดยความร้อนจะถูกควบคุมด้วยตัวควบคุมอุณหภูมิพลาสติกที่ได้รับความร้อนจะหลอมไหลผ่าน die มาตรฐาน ด้วยแรงกดจากตุ้มน้ำหนัก มีการทดสอบหาค่า MFI อยู่ 2 วิธี
วิธีที่ 1 manual cut-off (Procedure A) วิธีนี้เหมาะกับพลาสติกที่มีค่า MFR อยู่ระหว่าง 0.15 ถึง 25 g/10mins หรือใช้สำหรับการเปรียบเทียบระหว่าง พลาสติกทัวไปกับพลาสติกที่เติมสาร
วิธีที่ 2 automatic method (Procedure B) วิธีนี้จำเป็นจะต้องทราบค่า melt density เพื่อประกอบในสมการ คำนวณหาค่า MFI,โดยการหาค่าปริมาตรของพลาสติกหลอมไหลต่อเวลา(Melt Volume Rate,MVR) AFRT เป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยวัดหาระยะการเคลื่อนที่ของ piston นำมาคำนวณ Melt Volume Rate,MVR ภายระยะที่กำหนดโดยอัตโนมัติ วิธีทดสอบ B เหมาะกับการทดสอบหาค่า MFI ตั้งแต่ 0.5 ถึง 900g/10mins.(ตาม ISO 1133 กำหนดให้ทดสอบได้ถึง 100g/10mins )
ขั้นตอนการทดสอบ
1. ถ้าเครื่องยังไม่เปิดใช้งาน ตรวจสอบการตั้งวางเครื่องให้ได้ระดับ โดยวางระดับน้ำที่ด้านบนของ
barrel ปรับขาตั้งวางเครื่องให้ระดับน้ำอยู่ตรงกึ่งกลาง เอาระดับน้ำออก
2. เปิดเครื่องทดสอบตั้งระดับอุณหภูมิที่กำหนดตามค่าประเภทของเม็ดพลาสติก
3. เมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่ตั้งและคงที่ ใส่ die และ Piston เข้าไปใน bore รอจนอุณหภูมินิ่งอีกครั้ง
4. ดึง Piston ออก ใส่ตัวอย่างทดสอบตามปริมาณในตารางเข้าไปใน bore ทีละน้อยจะหมด ระหว่างที
ใส่ตัวอย่างทดสอบให้ใช้ charging tool กดไล่อากาศจากตัวอย่างทดสอบ การใส่ตัวอยางทดสอบ
และ pac ควรใช้เวลาไม่เกิน1 นาที
5. ใส่ Pistonพร้อมกับตัวค้ำยัน (piston support sleeve) และรอจนครบเวลา preheat (ประมาณ4-6
นาที)
6. วางตุ้มน้ำหนักตามค่าจากตารางบน Piston จะมีพลาสติกหลอมไหลเริ่มออกมาจาก die
7. ห้ามทำการกดตุ้มน้ำหนักหลังจากครบเวลา preheat แล้ว
วิธีทดสอบตาม Method A
1 นำ piston support sleeve ออก เริ่มการทดสอบ
2. ขณะที่ piston เลื่อนลงจนขีดของ scribed mark ตัวล่างอยู่ในระดับเดียวกับขอบบน
ของ barrel ตัดพลาสติกที่ไหลออกจาก die ออกและเริ่มจับเวลา
3. ตัดพลาสติกที่ไหลออกอีกครั้งเมื่อครบเวลาการตัดตามตาราง
4. ในการทดสอบสามารถทำการทดสอบได้มากกว่า 1 ครั้งแต่ต้องอยู่ในช่วงของ scribed marks
วิธีทดสอบตาม Method B
ก่อนการทดสอบ ให้กำหนดค่าระยะของการวัดของ AFRT หรือ ตัววัดระยะ
2. นำ piston support sleeve ออก เริ่มการทดสอบ
3. ขณะที่ piston เลื่อนลงจนขีดของ scribed mark ตัวล่างอยู่ในระดับเดียวกับขอบบนของ barrel เครื่องทดสอบ MFI จะเริ่มจับเวลาโดยอัตโนมัติ และจะหยุดเมื่อถึงระยะที่ตั้ง
4. ค่าที่ได้จากการทดสอบนี้จะเป็นค่า MVR มีหน่วยเป็น CC/10 mins
การคำนวณค่าและรายงานผล Method A
1. ชั่งพลาสติกหลอมไหลที่ตัดไว้ สังเกตที่พลาสติกต้องไม่มีฟองอากาศภายอยู่ใน
2. คำนวณหาค่าเฉลี่ยจากค่าน้ำหนักของพลาสติกหลอมไหลทั้ง 3 ชิ้น
3. คำนวณค่า MFR จากสมการ:
MFR= 10W /T
where:
MFR = ค่าดัชนีการหลอมไหล (Melt Flow Rate in grams / 10 minutes.)
W = ค่าน้ำหนักเฉลี่ยของพลาสติกหลอมไหล.(everage weigh of extrudated in gram)
T = ช่วงเวลาที่ตัดของพลาสติกหลอมไหล (the extrusion time per sample in minutes).
4. รายงานค่า MFI พร้อมทศนิยม 2 ตำแหน่ง พร้อมข้อมูลของการทดสอบ เช่น อุณหภูมิ และ
ตุ้ม น้ำหนักทดสอบ
ρ = m / 0.711X L
where:
ρ = ค่าความหนาแน่น (melt density,g/cm3)ของพลาสติกที่อุณหภูมิทดสอบ
m = ค่าเฉลี่ยของน้ำหนัก (g) ของพลาสติกหลอมไหลที่ตัดตาม Method A.
L = ระยะการเคลื่อนที่ของ Piston (mm.) จากการวัดของ AFRT หรือ
จากตัววัดระยะ Piston ของเครื่องนั้นๆ ตาม Method B.
หมายเหตุ ค่า melt density ที่คำนวณได้นี้จะไม่เท่ากับการวัดค่า density ที่อุณหภูมิปกติ (23 C) จาก
การวัดด้วย density gradient ตามมาตรฐาน ASTM D1505 เช่นถ้าใช้เม็ดพลาสติก หมายเลข GD
6250 ของ "Hostalen" ที่มีค่า MFI เท่ากับ 1.0 ถึง 1.1g/10 mins มาทำการทดสอบหาค่า melt
density จะได้ ค่า melt density เท่ากับ 0.760 ที่อุณหภูมิ 190 C ในขณะที่วัดค่า density ที่อุณหภูมิ 23C
วิธีที่ 1 manual cut-off (Procedure A) วิธีนี้เหมาะกับพลาสติกที่มีค่า MFR อยู่ระหว่าง 0.15 ถึง 25 g/10mins หรือใช้สำหรับการเปรียบเทียบระหว่าง พลาสติกทัวไปกับพลาสติกที่เติมสาร
วิธีที่ 2 automatic method (Procedure B) วิธีนี้จำเป็นจะต้องทราบค่า melt density เพื่อประกอบในสมการ คำนวณหาค่า MFI,โดยการหาค่าปริมาตรของพลาสติกหลอมไหลต่อเวลา(Melt Volume Rate,MVR) AFRT เป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยวัดหาระยะการเคลื่อนที่ของ piston นำมาคำนวณ Melt Volume Rate,MVR ภายระยะที่กำหนดโดยอัตโนมัติ วิธีทดสอบ B เหมาะกับการทดสอบหาค่า MFI ตั้งแต่ 0.5 ถึง 900g/10mins.(ตาม ISO 1133 กำหนดให้ทดสอบได้ถึง 100g/10mins )
ขั้นตอนการทดสอบ
1. ถ้าเครื่องยังไม่เปิดใช้งาน ตรวจสอบการตั้งวางเครื่องให้ได้ระดับ โดยวางระดับน้ำที่ด้านบนของ
barrel ปรับขาตั้งวางเครื่องให้ระดับน้ำอยู่ตรงกึ่งกลาง เอาระดับน้ำออก
2. เปิดเครื่องทดสอบตั้งระดับอุณหภูมิที่กำหนดตามค่าประเภทของเม็ดพลาสติก
3. เมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่ตั้งและคงที่ ใส่ die และ Piston เข้าไปใน bore รอจนอุณหภูมินิ่งอีกครั้ง
4. ดึง Piston ออก ใส่ตัวอย่างทดสอบตามปริมาณในตารางเข้าไปใน bore ทีละน้อยจะหมด ระหว่างที
ใส่ตัวอย่างทดสอบให้ใช้ charging tool กดไล่อากาศจากตัวอย่างทดสอบ การใส่ตัวอยางทดสอบ
และ pac ควรใช้เวลาไม่เกิน1 นาที
5. ใส่ Pistonพร้อมกับตัวค้ำยัน (piston support sleeve) และรอจนครบเวลา preheat (ประมาณ4-6
นาที)
6. วางตุ้มน้ำหนักตามค่าจากตารางบน Piston จะมีพลาสติกหลอมไหลเริ่มออกมาจาก die
7. ห้ามทำการกดตุ้มน้ำหนักหลังจากครบเวลา preheat แล้ว
วิธีทดสอบตาม Method A
1 นำ piston support sleeve ออก เริ่มการทดสอบ
2. ขณะที่ piston เลื่อนลงจนขีดของ scribed mark ตัวล่างอยู่ในระดับเดียวกับขอบบน
ของ barrel ตัดพลาสติกที่ไหลออกจาก die ออกและเริ่มจับเวลา
3. ตัดพลาสติกที่ไหลออกอีกครั้งเมื่อครบเวลาการตัดตามตาราง
4. ในการทดสอบสามารถทำการทดสอบได้มากกว่า 1 ครั้งแต่ต้องอยู่ในช่วงของ scribed marks
วิธีทดสอบตาม Method B
ก่อนการทดสอบ ให้กำหนดค่าระยะของการวัดของ AFRT หรือ ตัววัดระยะ
2. นำ piston support sleeve ออก เริ่มการทดสอบ
3. ขณะที่ piston เลื่อนลงจนขีดของ scribed mark ตัวล่างอยู่ในระดับเดียวกับขอบบนของ barrel เครื่องทดสอบ MFI จะเริ่มจับเวลาโดยอัตโนมัติ และจะหยุดเมื่อถึงระยะที่ตั้ง
4. ค่าที่ได้จากการทดสอบนี้จะเป็นค่า MVR มีหน่วยเป็น CC/10 mins
การคำนวณค่าและรายงานผล Method A
1. ชั่งพลาสติกหลอมไหลที่ตัดไว้ สังเกตที่พลาสติกต้องไม่มีฟองอากาศภายอยู่ใน
2. คำนวณหาค่าเฉลี่ยจากค่าน้ำหนักของพลาสติกหลอมไหลทั้ง 3 ชิ้น
3. คำนวณค่า MFR จากสมการ:
MFR= 10W /T
where:
MFR = ค่าดัชนีการหลอมไหล (Melt Flow Rate in grams / 10 minutes.)
W = ค่าน้ำหนักเฉลี่ยของพลาสติกหลอมไหล.(everage weigh of extrudated in gram)
T = ช่วงเวลาที่ตัดของพลาสติกหลอมไหล (the extrusion time per sample in minutes).
4. รายงานค่า MFI พร้อมทศนิยม 2 ตำแหน่ง พร้อมข้อมูลของการทดสอบ เช่น อุณหภูมิ และ
ตุ้ม น้ำหนักทดสอบ
ρ = m / 0.711X L
where:
ρ = ค่าความหนาแน่น (melt density,g/cm3)ของพลาสติกที่อุณหภูมิทดสอบ
m = ค่าเฉลี่ยของน้ำหนัก (g) ของพลาสติกหลอมไหลที่ตัดตาม Method A.
L = ระยะการเคลื่อนที่ของ Piston (mm.) จากการวัดของ AFRT หรือ
จากตัววัดระยะ Piston ของเครื่องนั้นๆ ตาม Method B.
หมายเหตุ ค่า melt density ที่คำนวณได้นี้จะไม่เท่ากับการวัดค่า density ที่อุณหภูมิปกติ (23 C) จาก
การวัดด้วย density gradient ตามมาตรฐาน ASTM D1505 เช่นถ้าใช้เม็ดพลาสติก หมายเลข GD
6250 ของ "Hostalen" ที่มีค่า MFI เท่ากับ 1.0 ถึง 1.1g/10 mins มาทำการทดสอบหาค่า melt
density จะได้ ค่า melt density เท่ากับ 0.760 ที่อุณหภูมิ 190 C ในขณะที่วัดค่า density ที่อุณหภูมิ 23C
ด้วยเครื่อง Density gradient column จะได้ค่า density เท่ากับ 0.947
Temperature
|
Total Load
Including Piston
|
Condition
|
Test method applied
| ||||
°C
|
g
|
ASTM D1238
|
ISO 1133 No
|
ISO1133 Code
|
ASTM
|
ISO
|
DIN
|
125
|
325
|
A
|
-
|
-
|
PE
| ||
125
|
2160
|
B
|
-
|
-
|
PE
| ||
150
|
2160
|
C
|
2
|
B
|
EVA
| ||
190
|
325
|
D
|
3
|
C
|
PE
|
PE,PP
| |
190
|
2160
|
E
|
4
|
D
|
PE,POM
|
PE,EVA
|
PE
|
190
|
21600
|
F
|
7
|
G
|
PE
|
PE
|
PE,ABS(200C)
|
200
|
5000
|
G
|
8
|
H
|
PS,ABS
|
PS
|
PS
|
230
|
1200
|
H
|
11
|
L
|
PS,PMMA
|
PS,PMMA,PA(235C)
| |
230
|
3800
|
I
|
13
|
N
|
PS,PMMA
|
PS,PMMA
| |
265
|
12500
|
J
|
-
|
-
|
CTFE
| ||
275
|
325
|
K
|
-
|
-
|
PA
|
PA
| |
230
|
2160
|
L
|
12
|
M
|
PP
|
PP
|
PP,PA
|
190
|
1050
|
M
|
5
|
E
|
POM
| ||
190
|
10000
|
N
|
6
|
F
|
PE
|
PP,PS,ABS(220c),PMMA(200C)
| |
300
|
1200
|
O
|
-
|
-
|
PC
|
PC
| |
190
|
5000
|
P
|
18
|
T
|
PE
|
PE,PP
| |
235
|
1000
|
Q
|
-
|
-
|
PA
| ||
235
|
2160
|
R
|
-
|
-
|
PA
| ||
235
|
5000
|
S
|
~20
|
V
|
PA
|
PP(230C)
|
PP(230C)
|
250
|
2160
|
T
|
-
|
-
|
PTP
| ||
310
|
12500
|
U
|
-
|
-
|
PE
| ||
ABS,SAN
|
PA:230 C,325g;235 C,325g
| ||||||
220 C 10000g
|
PC: 300 C,5000g
|
ค่าโดยประมาณ เมื่อเลือกใช้อุณหภูมิ ต่างกัน
Temperature(C)
|
LDPE
|
HDPE
|
Polybutene-1
|
polypropylene
|
120
|
0.797
|
-
|
0.806
|
0.880
|
130
|
0.791
|
-
|
0.800
|
0.872
|
140
|
0.785
|
-
|
0.794
|
0.864
|
150
|
0.780
|
0.780
|
0.787
|
0.852
|
160
|
0.777
|
0.777
|
0.780
|
0.840
|
170
|
0.770
|
0.770
|
0.774
|
0.819
|
180
|
0.765
|
0.765
|
0.767
|
0.758
|
190
|
0.760
|
0.760
|
0.760
|
0.754
|
200
|
0.755
|
0.755
|
0.754
|
0.750
|
210
|
0.748
|
0.748
|
0.7746
|
0.746
|
220
|
0.744
|
0.744
|
0.740
|
0.742
|
230
|
0.738
|
0.738
|
0.733
|
0.738
|
240
|
0.733
|
0.733
|
0.726
|
0.734
|
250
|
0.737
|
0.727
|
0.719
|
0.730
|
ขอขอบคุณข้อมูลจากบริษัทอินโทรเอ็นเตอร์ไพรส์จำกัด www.intro.co.th.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)